วันอังคารที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

รีวิวเชียงใหม่ 2 วัน 1 คืน เดินทางด้วยรถไฟจ้า ตอนที่ 2

มาแล้วจ้า วันที่ 2 ในเชียงใหม่ เป็นวันที่ จขกท. จะเดินทางกลับกรุงเทพแล้วค่ะ
โดยจะขึ้นรถไฟรอบ 17.30 น. ค่ะ 

หลังจากเชคเอ้าท์ออกจากโรงแรม ก็เดินไปยังร้าน iberry ของพี่โน๊ต อุดมค่ะ
ร้านตั้งอยู่ในซอยสายน้ำผึ้ง ถนนนิมมานเหมินท์ ซอย 17 บริเวณกลางซอย 

บรรยากาศร่มรื่นมาก มีเสียงดนตรีเคล้าคลอให้อารมณ์แบบชิลๆ




Choco Banana & Rum raisin หอม อร่อย ^^




หลังจากดื่มด่ำบรรยากาศที่ร้าน iberry จนพอใจแล้ว ก็เดินทางต่อค่ะ 
ตอนแรกลังเลนิดหน่อยว่าจะไปต่อที่ไหนดี เพราะเวลายังเหลือ เพิ่งจะบ่ายโมงกว่าๆ
เลยตัดสินใจเรียกรถแดงให้ไปส่งที่ Chiangmai Zoo Aquarium (สวนสัตว์เชียงใหม่) 
ตั้งใจจะไปดูปลา และสัตว์น้ำสวยๆค่ะ 


















ได้เวลาเดินทางกลับแล้วค่ะ รอรถไฟออกจากสถานีจ้า ^^


ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามชมนะคะ
คราวหน้าถ้าได้เดินทางไปท่องเที่ยวอีกจะมารีวิวให้ชมกันอีกค่ะ บ๊าย บาย

ขอบคุณที่มาของบทความ : 
http://pantip.com/topic/30147708

รีวิว เที่ยวเชียงใหม่หน้าฝนก็สนุกและสวยกว่าที่คิด

สวัสดีครับเพื่อนๆชาวห้องบลูแพลนเน็ต  พอดีเมื่อสัปดาห์ที่แล้ววันที่ 1 – 3 สิงหาคม 2556 ผมและเพื่อนๆพี่ๆ ได้มีโอกาสไปเที่ยวเชียงใหม่ซึ่งมีแต่คนบอกว่าไปทำไมมันฤดูฝนนะแต่ทำไงได้ละในเมื่อเราจองหางแดงไว้แล้วอุตส่าอดหลับอดนอนจองกว่าจะได้ ซึ่งก่อนไปก็เตรียมตัวเตรียมใจไว้แล้วว่าเจอฝนแน่ๆเพราะกรมอุตุพยากรณ์อากาศบอกว่าฝน 80 % แต่ทิปนี้เราไปกับดวงจริงๆครับ แทบไม่เจอฝนเลยครับเจอนิดหน่อยแค่ทางขึ้นดอยอินทนนท์แค่นั้นเองครับ จึงอยากจะมารีวิวให้เพื่อนๆในห้องบลูแพลนเน็ต ได้เห็นกันว่าเที่ยวเชียงใหม่หน้าฝนมันก็สวยเหมือนกันครับแถมยังไม่ต้องไปเบียดเสียดแย่งกันถ่ายรูปอีกด้วยไม่ต้องแย่งกันกินแย่งกันเที่ยว ด้วยครับ

สำหรับโปรแกรมการท่องเที่ยวในวันแรกก็มีดังนี้ครับ
             วันแรก เราแทบไม่ได้ไปไหนเลย ไม่ใช่ว่าเพราะฝนตกนะครับ แต่ด้วยเนื่องจากการจอง หางแดงครั้งนี้เราต้องแบ่งการจอง เป็น 3 คณะ เลยมาถึงกันคนและเวลา 10.30 น. เที่ยวนึง  15.00น. เที่ยวนึง และส่วนตัวผมมาดึกสุดเลย 22.00 น. (แต่ขากลับเราได้กลับเที่ยวเดียวกันนะครับ) เราเลยตกลงกันว่าวันแรกก็ เที่ยวในตัวเมืองนิดๆหน่อยๆ เลยแบ่งออกเป็นคณะเดินทางชุดแรกและชุดสอง ได้เที่ยวก่อนคุ้มสุดๆ ผมแอบอิจฉาอยู่นิดนึง 
โปรแกรมวันที่สองมีดังนี้ครับ 
-    ขึ้นดอยอินทนนท์
-    น้ำตกวชิรธาร
-    น้ำพุร้อนสันกำแพง
-    รับประทานอาหารเย็นที่ ร้านเฮือนข้าเจ้า
และโปรแกรมวันที่สามมีดังนี้ครับ
-    ม่อนแจ่ม
-    อาหารเช้าที่ ร้านม่อนม่วน
-    ขึ้นดอยสุเทพ
-    สวนสัตว์เชียงใหม่


เรามาเริ่มกันเลยดีกว่าครับ วันแรกหลังจาก check in ที่โรงแรม ใบหยกเจ้า  ที่นี้เราพักคืนละ 1,100 บาท 2 คืน ก็ 2,200 บาท เป็นโรงแรมที่ดีเลยทีเดียวครับเพราะตั้งอยู่ในถนนนิมมานเหมินท์ ซึ่งเป็นแหล่งที่หาของทานได้ง่ายมากมากสะดวกดีครับ ส่วนตัวแล้วผมชอบเลยทีเดียว มีโอกาศผมกลับไปพักอีกแน่นอนครับ


หลังจาก check in เสร็จแล้วเราก็เริ่มเที่ยวกันเลยครับ ที่หมายของเราก็คือ Art in Paradise นั่นเอง เราก็จัดการโบกรถแดง คนละ 20 บาท 
Art in Paradise อยู่ในถนนช้างคลาน หาไม่ยากครับเลยโรงแรมแชงกรีลาไปนิดหน่อย ค่าเข้าชมคนละ 180 บาท เปิดตั้งแต่ 9.00 – 21.00 น. ครับ


























สำหรับวันแรกก็มีแค่นี้ครับ โปรแกรมหลักๆ จะอยู่วันที่ 2 กับ 3 ครับ


เริ่มวันที่สองกันเลยครับ  มื้อเช้าเราแวะทานโจ๊กกันที่ ร้านโจ๊กต้นพยอม แต่ขอแอบบ่นนิดนึงนะครับเผื่อทางร้านจะปรับปรุงแก้ไข คือเรื่องของราคาครับในใบรายการที่ทางร้านให้เขียนนั้นไม่ใช่ราคาที่แท้จริงครับแต่ต้องบวกเพิ่มอีก 5 บาท ทุกเมนูครับ ฝากด้วยนะครับ แต่รสชาติอร่อยเลยครับ

หลังจากอิ่มเรียบร้อยเราก็เดินทางมุ่งหน้าสู่ดอยอินทนนท์ แอบหวังเล็กๆว่าถ้าเราไปถึงที่นั้นเช้าๆน่าจะได้เห็นหมอก และก็ไม่น่าเชื่อครับเจออย่างที่หวังไว้เลยครับ ชอบมากๆครับ




และก็ไม่ลืมที่จะแวะที่นี้ครับ หลักกิโลเมตรที่ 41 จุดชมวิวครับ มีแต่หมอกทั้งทั้นเลยครับ อุณภูมิวันนั้นอยู่ที่ 13 องศาครับ หนาวใช่ได้เลยทีเดียว








และก็เจ้านี้เองที่พาเราขึ้นดอยแบบสบายมากเครื่องเค้าแรงจริงๆ เราได้ทำการเช่ารถกับทาง AVIS ด้วยราคา 2 วัน 3,998 บาท นั่ง 7 คนได้สบายมาก กว้างดีครับ



และแล้วเราก็มาถึงจนได้ครับ จุดสูงสุดของประเทศไทย




เมื่อชื่นชมกับความหนาวเย็นแบบชื่นๆ แล้วก็ได้เวลาลงจากดอยแล้วละครับ  และอีกอย่างก็หิวแล้วด้วย 55 เราเลยจะแวะทานข้าวกันที่ น้ำตกวชิรธาร ครับ แต่ระหว่างทางลงเราก็ได้แวะตลาดชาวเขาเพื่อซื้อของฝากเล็กๆน้อย อ๋อถ้าใครไปดอยอินทนนท์ในช่วงนี้ลูกพลับกำลังออกเลยนะครับ หวาน กรอบ อร่อย มากๆครับ ผมซื้อกลับบ้านมาเกือบ 10 โล แหนะครับ สำหรับราคาอยู่ที่ 40 บาทต่อกิโลครับ ซื้อเยอะมีแถมด้วยครับ





ใครอยากเห็นต้นลูกพลับก็มีให้ชมด้วยนะครับอยู่ข้างทางเลย ตอนผมไปกำลังเหลืองเลยว่าจะแอบเด็ดมาแล้วครับ 55



และก็ถึงแล้วครับ น้ำตกวชิรธาร สวยมากครับ น้ำแรงมากๆด้วย กล้องผมแทบถ่ายไม่ได้เลยครับละอองน้ำแรงมากจริง แค่ยืนเฉยๆซักแปบนึงเปียกทั้งตัวเลยครับ




สำหรับวันนี้รีวิวแค่นี้ก่อนครับเดี๋ยวมาต่อพรุ่งนี้นะครับ


มาต่อแล้วครับ หลังจากที่เราชุ่มฉ่ำกับน้ำตกเราก็ได้เวลา บายๆดอยอินทนนท์กันแล้ว จริงแล้วยังเหลือโปรแกรมเที่ยวน้ำตกแม่ยะอีกนะครับ แต่ด้วยเวลาถ้าเราไปน้ำตกแม่ยะ เราก็จะไม่ได้น้ำพุร้อนที่สันกำแพง เราเลยตัดสินใจกันว่าไปน้ำพุร้อนดีกว่า แม่ยะไว้เจอกันทิปหน้าเนอะ เราออกจากที่ดอยอินทนนท์เวลาประมาณ 14.00 น. ใช้เวลาเดินทางไป น้ำพุร้อนสันกำแพง ประมาณ ชั่วโมงครึ่งครับ เราก็ถึงที่หมาย (ทิปนี้เราโชคดีอย่างครับขึ้นรถปุบฝนตกปับเราเลยเจอฝนแค่การเดินทางไปนูนไปนี้เท่านั้น แต่พอถึงที่หมายฝนก็หยุดให้เราเที่ยวได้เลย มากับดวงจริงๆครับทิปนี้)

ถึงแล้วครับ น้ำพุร้อนสันกำแพง





แล้วเราก็มานั่งเอาเท้าแช่น้ำพุร้อนกันเพื่อคล้ายเมื่อย แต่ลืมไปว่าเมื่อเช้าเราเจอความเย็นมาที่ 13 องศา ตกเย็น มาแช่น้ำพุร้อนอีก ไข้กินตามๆกันเลยครับ 555 ตกเย็นต้องทานยากันเลยที่เดียวเดี๋ยวพรุ่งนี้เที่ยวไม่สนุก 



หลังจากที่เราแช่น้ำพุร้อนจนร้อนไปทั้งตัวแล้ว 55 เราก็ได้เวลาออกเดินทางกลับโรงแรม เพราะมื้อเย็นนี้เรามีนัดทานข้าวเย็นกันที่ ร้านเฮือนข้าเจ้า ครับ
ออกจากน้ำพุร้อนถึงโรงแรมก็ประมาน 6 โมง พอดีครับ เลยให้เวลาอาบน้ำแต่งตัวกันนิดๆหน่อย ทุ่มครึ่งเราก็ได้เวลาออกเดินทางสู้ ร้านเฮือนข้าเจ้า 
            ร้านเฮือนข้าเจ้า ตั้งอยู่ในถนนแก้วนวรัฐ ซอย 3 เลี้ยวเข้าไปอีกนิดอยู่ซอย 3/3 ก็จะเจอเลยครับ เป็นร้านอาหารสไตล์เหนือเลยครับ ถ้ามาช่วงฤดูการท่องเที่ยวจะมีขันโตกด้วยครับ สำหรับการแสดงนั้นจะมีการแสดงทุกวันครับเริ่มการแสดงตั้งแต่เวลา 2 ทุ่ม จน จบก็ 3 ทุ่มครึ่งพอดี ถ้าใครอยากทานอาหารให้ได้สไตล์ล้านนา ผมขอแนะนำร้านนี้เลยครับ ผมชอบการแสดงมากๆ ครับมีโอกาสผมกลับไปอีกแน่นอนครับ แถมภายในร้านมีมุมของเก่าตั้งแต่สมัยรุ่นพ่อรุ่นแม่ของเราได้ให้ชมและถ่ายรูปได้ด้วย
  แผนที่ตามนี้เลยครับ


บรรยากาศภายในร้านครับ จะมีอยู่ 2 โซนนะครับ โซนแรกถ้าฝนไม่ตกก็จะได้นั่งทานอาหารและชมการแสดงที่โซนนี้ครับ



แต่สำหรับวันนั้นที่ผมไปฝนตกก่อนหน้านิดนึงพื้นเลยเปียก ทางร้านจึงให้ขึ้นไปทานอาหารที่บนเรือนครับ โดยส่วนตัวผมชอบทานที่บนเรือนนะเพราะได้ชมการแสดงแบบว่าใกล้ชิดเลยละครับ



ระหว่างรออาหารเราก็เดินถ่ายรูปเล่นในบริเวณร้านครับของเก่าๆเยอะเลยใครชอบแนวของเก่าคงชอบแน่ๆเลยของบ้างอย่าผมไม่ได้เห็นนานมากก็มาเห็นที่ร้านนี้แหละครับ



อาหารมาแล้วครับ เราหมดกับค่าอาหารทั้งหมดนี้ก็ประมาณ 1,640 บาท ครับ ถือว่าอิ่มกันเลยทีเดียว แถมได้ชมการแสดงอีกต่างหาก



หลังจากที่เราทานอาหารไปได้ซักพักการแสดงก็เริ่มขึ้นครับ (ผมแอบคิดอยู่นิดนึงนะถ้าวันนั้นมีพวกผมไปทานอาหารแค่โต๊ะเดียวทางร้านจะมีการแสดงไหม ที่แอบคิดไม่ใช่เพราะว่าอะไรนะครับคือวันนั้นมีแค่ 3 โต๊ะเอง ไม่ถึง 20 คนเลย เพราะว่าไม่ใช่ฤดูการท่องเที่ยวด้วยคนเลยน้อยครับ แต่ถ้ามาช่วงท่องเที่ยวนี้ถึงกับต้องจองเลยนะครับ  นักแสดงแสดงใด้เต็มที่มากๆ ยิ้มแย้มตลอดเวลา ผมและเพื่อนๆ พี่ๆ ประทับใจกันมากครับ ฝากชมผ่านทางนี้ด้วยนะครับ เผื่อนักแสดงท่านใดท่านหนึ่งมาแอบบอ่าน 55 มีโอกาสผมกลับไปแน่นอนครับ)
















และปิดท้ายด้วยนั่งแสดงออกมาขอบคุณคนดูครับ ประทับใจมากๆครับ แล้วเจอกันใหม่นะครับ เฮือนข้าเจ้า



และแล้ววันนี้เราก็จบลงด้วยความประทับใจ กลับไปถึงที่โรงแรมเราก็ออกมาหาของหวานทานก่อนนอนที่ร้านนี้เลย มนต์นมสด สาขาถนนนิมมานเหมินท์  แต่ก็ต้องรีบนอนเพราะพรุ่งนี้เรามีนัดแต่เช้าตรูกันที่ ม่อนแจ่ม ครับ

มาต่อกับเช้าวันสุดท้ายของการเดินทางนะครับ เช้านี้เราไปที่ ม่อนแจ่ม นั้นเอง ออกจากโรงแรม 7 โมงเช้า ครับเราก็ยิงตรงขึ้น ม่อนแจ่มเลย ใช้เวลาเดินทางโดยประมาณ 45 นาทีครับเราก็จะมาถึง ที่นี้เอง ม่อนแจ่ม 

ภาพบังคับต้องถ่าย 55


เช้านี้ที่ม่อนแจ่ม


แทบไม่มีนักท่องเที่ยวเลยครับ ชอบสุดๆ เลือกถ่ายเอาเลยครับ




บรรยากาศเช้าๆสดชื่นมากๆครับ






ถ่ายกับน้องชาวดอยนิดหน่อยครับ น้องอัธยาศัยดีมากครับ




















หลังจากที่เรา ชื่นชมกับความสวยงามของ ม่อนแจ่ม ได้ซักพักใหญ่ ก็เริ่มหิวกันแล้วละครับ สำหรับอาหารเช้าเราจะไปทานกันที่ บ้านม่อนม่วน สถานที่ถ่ายทำ ละคร “ธรณีนี่นี้ใครครอง” อยู่ไม่ไกลจาก ม่อนแจ่มเลยครับ 
ถึงแล้วครับ บ้านม่อนม่วน  บ้านม่อนม่วนนั้นมีที่พักด้วยนะครับถ้าใครอยากจะไปลองพักสูดอาการบริสุทธิ์ก็ได้เลยนะครับ บ้านน่าพักมากๆ
ที่นี้เค้าจะเปิดให้บริการอาหารตั้งแต่เวลา 10 โมงเช้าเป็นต้นไป เพราะตอนเช้าๆนั้นทางบ้านม่อนม่วนจะให้สิทธิแก่ผู้ที่พักภายในนั้นได้มีความเป็นส่วนตัวก่อนครับ  แต่ตอนที่ทางเราไปนั้นเราไปก่อน 10 โมงอีก 55 ก็มันหิวเนอะอาหารเช้ายังไม่ได้ทานเลย ทางเจ้าของบ้านม่อนม่วนก็ใจดีมากๆ คำแรกที่เจ้าของบ้านพูดก็คือไหนๆก็มาแล้วงันก็เชิญเลยแล้วกันนะค่ะ แต่ขอให้ใช้เสียงเบาๆหน่อยนะค่ะ เพราะแขกบางท่านอาจจะยังไม่ตื่นค่ะ ทางเราก็ไม่มีปัญหาครับ งันก็ลุยเลยแล้วกันครับ



และนี้ก็คือแปลงผักหน้าบ้านม่อนม่วนครับ


บรรยากาศ ภายในร้านครับ





และนี้ก็บ้านพักครับ


และนี้ก็คือที่นั่งทานอาหารข้างบนครับ วิวสวยมากๆ เลยครับ





และนี้ก็คือเมนูแนะนำของที่นี้เลยละครับ สลัดผัก น้ำสลัดฟักทองครับ ส่วนของผมที่สั่งไปนั้นผมเพิ่มทูนามาด้วยครับ
สำหรับราคาของเมนูนี้อยู่ที่ สลัดผักน้ำฟักทอง 150 บาท และก็บวก ทูนาอีก 30 บาท รวมแล้ว 180 บาท เรียกว่าคุ้มเลยทีเดียวละครับ ทานกันได้ 4 คนกำลังดีเลยละครับ วันนั้นเลยจัดไปซะ 2 ชุดเลยครับ อร่อยจริงๆครับ ต้องบอกต่อเลย







และก็ไม่ลืมที่จะต้องไปกราบพระธาตุดอยสุเทพครับ



ลงจากดอยเสร็จแล้วก็ไปหาเจ้านี้เลยครับ

นั่งกินไผ่เพลินเลย 55


หลังจากนี้เราก็มุ่งหน้าหาซื้อของฝากที่บ้านกันครับที่ตลาดวโรรสครับ
แล้วก็ต่อด้วยเดินตลากคนเดินวัวลายนิดหน่อยครับ เพราะต้องรีบไปขึ้นเครื่องและครับ (ขอโทษด้วยนะครับรูปไม่มีเพราะรีบกันจริงๆ 55 แทบจะวิ่งขึ้นเครื่องกันเลยทีเดียว) อันนี้ขอชมนิดนึงนะครับ ร้านอาหารที่ตั้งอยู่ตรงคูเมืองตรงข้ามกับทางเข้าถนนคนเดินวัวลาย อร่อยหลายร้านเลยครับและราคาก็ไม่แพงด้วยนะครับ ชอบเลยประหยัดงบไปได้เยอะเลยครับ


             ครับสุดท้ายนี้ผมก็ขอจบการรีวิวเชียงใหม่หน้าฝนของผมแต่เพียงเท่านี้นะครับ ถ้าหากมีอะไรผิดพลาดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับเพราะเป็นรีวิวแรกของผมเอง ขอบคุณครับที่เข้ามาเยี่ยมชม แล้วพบกันใหม่กับรีวิวหน้านะครับ เร็วๆนี้แน่นอน แต่จะในหรือนอกประเทศอันนี้ต้องดูอีกทีครับ


ขอบคุณที่มาของบทความ : http://pantip.com/topic/30819836/story