
สำหรับโปรแกรมการท่องเที่ยวในวันแรกก็มีดังนี้ครับ
วันแรก เราแทบไม่ได้ไปไหนเลย ไม่ใช่ว่าเพราะฝนตกนะครับ แต่ด้วยเนื่องจากการจอง หางแดงครั้งนี้เราต้องแบ่งการจอง เป็น 3 คณะ เลยมาถึงกันคนและเวลา 10.30 น. เที่ยวนึง 15.00น. เที่ยวนึง และส่วนตัวผมมาดึกสุดเลย 22.00 น. (แต่ขากลับเราได้กลับเที่ยวเดียวกันนะครับ) เราเลยตกลงกันว่าวันแรกก็ เที่ยวในตัวเมืองนิดๆหน่อยๆ เลยแบ่งออกเป็นคณะเดินทางชุดแรกและชุดสอง ได้เที่ยวก่อนคุ้มสุดๆ ผมแอบอิจฉาอยู่นิดนึง
โปรแกรมวันที่สองมีดังนี้ครับ
- ขึ้นดอยอินทนนท์
- น้ำตกวชิรธาร
- น้ำพุร้อนสันกำแพง
- รับประทานอาหารเย็นที่ ร้านเฮือนข้าเจ้า
และโปรแกรมวันที่สามมีดังนี้ครับ
- ม่อนแจ่ม
- อาหารเช้าที่ ร้านม่อนม่วน
- ขึ้นดอยสุเทพ
- สวนสัตว์เชียงใหม่
เรามาเริ่มกันเลยดีกว่าครับ วันแรกหลังจาก check in ที่โรงแรม ใบหยกเจ้า ที่นี้เราพักคืนละ 1,100 บาท 2 คืน ก็ 2,200 บาท เป็นโรงแรมที่ดีเลยทีเดียวครับเพราะตั้งอยู่ในถนนนิมมานเหมินท์ ซึ่งเป็นแหล่งที่หาของทานได้ง่ายมากมากสะดวกดีครับ ส่วนตัวแล้วผมชอบเลยทีเดียว มีโอกาศผมกลับไปพักอีกแน่นอนครับ

หลังจาก check in เสร็จแล้วเราก็เริ่มเที่ยวกันเลยครับ ที่หมายของเราก็คือ Art in Paradise นั่นเอง เราก็จัดการโบกรถแดง คนละ 20 บาท
Art in Paradise อยู่ในถนนช้างคลาน หาไม่ยากครับเลยโรงแรมแชงกรีลาไปนิดหน่อย ค่าเข้าชมคนละ 180 บาท เปิดตั้งแต่ 9.00 – 21.00 น. ครับ























สำหรับวันแรกก็มีแค่นี้ครับ โปรแกรมหลักๆ จะอยู่วันที่ 2 กับ 3 ครับ
เริ่มวันที่สองกันเลยครับ มื้อเช้าเราแวะทานโจ๊กกันที่ ร้านโจ๊กต้นพยอม แต่ขอแอบบ่นนิดนึงนะครับเผื่อทางร้านจะปรับปรุงแก้ไข คือเรื่องของราคาครับในใบรายการที่ทางร้านให้เขียนนั้นไม่ใช่ราคาที่แท้จริงครับแต่ต้องบวกเพิ่มอีก 5 บาท ทุกเมนูครับ ฝากด้วยนะครับ แต่รสชาติอร่อยเลยครับ

หลังจากอิ่มเรียบร้อยเราก็เดินทางมุ่งหน้าสู่ดอยอินทนนท์ แอบหวังเล็กๆว่าถ้าเราไปถึงที่นั้นเช้าๆน่าจะได้เห็นหมอก และก็ไม่น่าเชื่อครับเจออย่างที่หวังไว้เลยครับ ชอบมากๆครับ



และก็ไม่ลืมที่จะแวะที่นี้ครับ หลักกิโลเมตรที่ 41 จุดชมวิวครับ มีแต่หมอกทั้งทั้นเลยครับ อุณภูมิวันนั้นอยู่ที่ 13 องศาครับ หนาวใช่ได้เลยทีเดียว






และก็เจ้านี้เองที่พาเราขึ้นดอยแบบสบายมากเครื่องเค้าแรงจริงๆ เราได้ทำการเช่ารถกับทาง AVIS ด้วยราคา 2 วัน 3,998 บาท นั่ง 7 คนได้สบายมาก กว้างดีครับ

และแล้วเราก็มาถึงจนได้ครับ จุดสูงสุดของประเทศไทย



เมื่อชื่นชมกับความหนาวเย็นแบบชื่นๆ แล้วก็ได้เวลาลงจากดอยแล้วละครับ และอีกอย่างก็หิวแล้วด้วย 55 เราเลยจะแวะทานข้าวกันที่ น้ำตกวชิรธาร ครับ แต่ระหว่างทางลงเราก็ได้แวะตลาดชาวเขาเพื่อซื้อของฝากเล็กๆน้อย อ๋อถ้าใครไปดอยอินทนนท์ในช่วงนี้ลูกพลับกำลังออกเลยนะครับ หวาน กรอบ อร่อย มากๆครับ ผมซื้อกลับบ้านมาเกือบ 10 โล แหนะครับ สำหรับราคาอยู่ที่ 40 บาทต่อกิโลครับ ซื้อเยอะมีแถมด้วยครับ



ใครอยากเห็นต้นลูกพลับก็มีให้ชมด้วยนะครับอยู่ข้างทางเลย ตอนผมไปกำลังเหลืองเลยว่าจะแอบเด็ดมาแล้วครับ 55

และก็ถึงแล้วครับ น้ำตกวชิรธาร สวยมากครับ น้ำแรงมากๆด้วย กล้องผมแทบถ่ายไม่ได้เลยครับละอองน้ำแรงมากจริง แค่ยืนเฉยๆซักแปบนึงเปียกทั้งตัวเลยครับ



สำหรับวันนี้รีวิวแค่นี้ก่อนครับเดี๋ยวมาต่อพรุ่งนี้นะครับ
มาต่อแล้วครับ หลังจากที่เราชุ่มฉ่ำกับน้ำตกเราก็ได้เวลา บายๆดอยอินทนนท์กันแล้ว จริงแล้วยังเหลือโปรแกรมเที่ยวน้ำตกแม่ยะอีกนะครับ แต่ด้วยเวลาถ้าเราไปน้ำตกแม่ยะ เราก็จะไม่ได้น้ำพุร้อนที่สันกำแพง เราเลยตัดสินใจกันว่าไปน้ำพุร้อนดีกว่า แม่ยะไว้เจอกันทิปหน้าเนอะ เราออกจากที่ดอยอินทนนท์เวลาประมาณ 14.00 น. ใช้เวลาเดินทางไป น้ำพุร้อนสันกำแพง ประมาณ ชั่วโมงครึ่งครับ เราก็ถึงที่หมาย (ทิปนี้เราโชคดีอย่างครับขึ้นรถปุบฝนตกปับเราเลยเจอฝนแค่การเดินทางไปนูนไปนี้เท่านั้น แต่พอถึงที่หมายฝนก็หยุดให้เราเที่ยวได้เลย มากับดวงจริงๆครับทิปนี้)
ถึงแล้วครับ น้ำพุร้อนสันกำแพง




แล้วเราก็มานั่งเอาเท้าแช่น้ำพุร้อนกันเพื่อคล้ายเมื่อย แต่ลืมไปว่าเมื่อเช้าเราเจอความเย็นมาที่ 13 องศา ตกเย็น มาแช่น้ำพุร้อนอีก ไข้กินตามๆกันเลยครับ 555 ตกเย็นต้องทานยากันเลยที่เดียวเดี๋ยวพรุ่งนี้เที่ยวไม่สนุก

หลังจากที่เราแช่น้ำพุร้อนจนร้อนไปทั้งตัวแล้ว 55 เราก็ได้เวลาออกเดินทางกลับโรงแรม เพราะมื้อเย็นนี้เรามีนัดทานข้าวเย็นกันที่ ร้านเฮือนข้าเจ้า ครับ
ออกจากน้ำพุร้อนถึงโรงแรมก็ประมาน 6 โมง พอดีครับ เลยให้เวลาอาบน้ำแต่งตัวกันนิดๆหน่อย ทุ่มครึ่งเราก็ได้เวลาออกเดินทางสู้ ร้านเฮือนข้าเจ้า
ร้านเฮือนข้าเจ้า ตั้งอยู่ในถนนแก้วนวรัฐ ซอย 3 เลี้ยวเข้าไปอีกนิดอยู่ซอย 3/3 ก็จะเจอเลยครับ เป็นร้านอาหารสไตล์เหนือเลยครับ ถ้ามาช่วงฤดูการท่องเที่ยวจะมีขันโตกด้วยครับ สำหรับการแสดงนั้นจะมีการแสดงทุกวันครับเริ่มการแสดงตั้งแต่เวลา 2 ทุ่ม จน จบก็ 3 ทุ่มครึ่งพอดี ถ้าใครอยากทานอาหารให้ได้สไตล์ล้านนา ผมขอแนะนำร้านนี้เลยครับ ผมชอบการแสดงมากๆ ครับมีโอกาสผมกลับไปอีกแน่นอนครับ แถมภายในร้านมีมุมของเก่าตั้งแต่สมัยรุ่นพ่อรุ่นแม่ของเราได้ให้ชมและถ่ายรูปได้ด้วย
แผนที่ตามนี้เลยครับ

บรรยากาศภายในร้านครับ จะมีอยู่ 2 โซนนะครับ โซนแรกถ้าฝนไม่ตกก็จะได้นั่งทานอาหารและชมการแสดงที่โซนนี้ครับ

แต่สำหรับวันนั้นที่ผมไปฝนตกก่อนหน้านิดนึงพื้นเลยเปียก ทางร้านจึงให้ขึ้นไปทานอาหารที่บนเรือนครับ โดยส่วนตัวผมชอบทานที่บนเรือนนะเพราะได้ชมการแสดงแบบว่าใกล้ชิดเลยละครับ

ระหว่างรออาหารเราก็เดินถ่ายรูปเล่นในบริเวณร้านครับของเก่าๆเยอะเลยใครชอบแนวของเก่าคงชอบแน่ๆเลยของบ้างอย่าผมไม่ได้เห็นนานมากก็มาเห็นที่ร้านนี้แหละครับ

อาหารมาแล้วครับ เราหมดกับค่าอาหารทั้งหมดนี้ก็ประมาณ 1,640 บาท ครับ ถือว่าอิ่มกันเลยทีเดียว แถมได้ชมการแสดงอีกต่างหาก

หลังจากที่เราทานอาหารไปได้ซักพักการแสดงก็เริ่มขึ้นครับ (ผมแอบคิดอยู่นิดนึงนะถ้าวันนั้นมีพวกผมไปทานอาหารแค่โต๊ะเดียวทางร้านจะมีการแสดงไหม ที่แอบคิดไม่ใช่เพราะว่าอะไรนะครับคือวันนั้นมีแค่ 3 โต๊ะเอง ไม่ถึง 20 คนเลย เพราะว่าไม่ใช่ฤดูการท่องเที่ยวด้วยคนเลยน้อยครับ แต่ถ้ามาช่วงท่องเที่ยวนี้ถึงกับต้องจองเลยนะครับ นักแสดงแสดงใด้เต็มที่มากๆ ยิ้มแย้มตลอดเวลา ผมและเพื่อนๆ พี่ๆ ประทับใจกันมากครับ ฝากชมผ่านทางนี้ด้วยนะครับ เผื่อนักแสดงท่านใดท่านหนึ่งมาแอบบอ่าน 55 มีโอกาสผมกลับไปแน่นอนครับ)














และปิดท้ายด้วยนั่งแสดงออกมาขอบคุณคนดูครับ ประทับใจมากๆครับ แล้วเจอกันใหม่นะครับ เฮือนข้าเจ้า

และแล้ววันนี้เราก็จบลงด้วยความประทับใจ กลับไปถึงที่โรงแรมเราก็ออกมาหาของหวานทานก่อนนอนที่ร้านนี้เลย มนต์นมสด สาขาถนนนิมมานเหมินท์ แต่ก็ต้องรีบนอนเพราะพรุ่งนี้เรามีนัดแต่เช้าตรูกันที่ ม่อนแจ่ม ครับ

ภาพบังคับต้องถ่าย 55
เช้านี้ที่ม่อนแจ่ม


แทบไม่มีนักท่องเที่ยวเลยครับ ชอบสุดๆ เลือกถ่ายเอาเลยครับ



บรรยากาศเช้าๆสดชื่นมากๆครับ



ถ่ายกับน้องชาวดอยนิดหน่อยครับ น้องอัธยาศัยดีมากครับ
















หลังจากที่เรา ชื่นชมกับความสวยงามของ ม่อนแจ่ม ได้ซักพักใหญ่ ก็เริ่มหิวกันแล้วละครับ สำหรับอาหารเช้าเราจะไปทานกันที่ บ้านม่อนม่วน สถานที่ถ่ายทำ ละคร “ธรณีนี่นี้ใครครอง” อยู่ไม่ไกลจาก ม่อนแจ่มเลยครับ
ถึงแล้วครับ บ้านม่อนม่วน บ้านม่อนม่วนนั้นมีที่พักด้วยนะครับถ้าใครอยากจะไปลองพักสูดอาการบริสุทธิ์ก็ได้เลยนะครับ บ้านน่าพักมากๆ
ที่นี้เค้าจะเปิดให้บริการอาหารตั้งแต่เวลา 10 โมงเช้าเป็นต้นไป เพราะตอนเช้าๆนั้นทางบ้านม่อนม่วนจะให้สิทธิแก่ผู้ที่พักภายในนั้นได้มีความเป็นส่วนตัวก่อนครับ แต่ตอนที่ทางเราไปนั้นเราไปก่อน 10 โมงอีก 55 ก็มันหิวเนอะอาหารเช้ายังไม่ได้ทานเลย ทางเจ้าของบ้านม่อนม่วนก็ใจดีมากๆ คำแรกที่เจ้าของบ้านพูดก็คือไหนๆก็มาแล้วงันก็เชิญเลยแล้วกันนะค่ะ แต่ขอให้ใช้เสียงเบาๆหน่อยนะค่ะ เพราะแขกบางท่านอาจจะยังไม่ตื่นค่ะ ทางเราก็ไม่มีปัญหาครับ งันก็ลุยเลยแล้วกันครับ



และนี้ก็คือแปลงผักหน้าบ้านม่อนม่วนครับ

บรรยากาศ ภายในร้านครับ





และนี้ก็บ้านพักครับ

และนี้ก็คือที่นั่งทานอาหารข้างบนครับ วิวสวยมากๆ เลยครับ




และนี้ก็คือเมนูแนะนำของที่นี้เลยละครับ สลัดผัก น้ำสลัดฟักทองครับ ส่วนของผมที่สั่งไปนั้นผมเพิ่มทูนามาด้วยครับ
สำหรับราคาของเมนูนี้อยู่ที่ สลัดผักน้ำฟักทอง 150 บาท และก็บวก ทูนาอีก 30 บาท รวมแล้ว 180 บาท เรียกว่าคุ้มเลยทีเดียวละครับ ทานกันได้ 4 คนกำลังดีเลยละครับ วันนั้นเลยจัดไปซะ 2 ชุดเลยครับ อร่อยจริงๆครับ ต้องบอกต่อเลย





และก็ไม่ลืมที่จะต้องไปกราบพระธาตุดอยสุเทพครับ


ลงจากดอยเสร็จแล้วก็ไปหาเจ้านี้เลยครับ

นั่งกินไผ่เพลินเลย 55


หลังจากนี้เราก็มุ่งหน้าหาซื้อของฝากที่บ้านกันครับที่ตลาดวโรรสครับ
แล้วก็ต่อด้วยเดินตลากคนเดินวัวลายนิดหน่อยครับ เพราะต้องรีบไปขึ้นเครื่องและครับ (ขอโทษด้วยนะครับรูปไม่มีเพราะรีบกันจริงๆ 55 แทบจะวิ่งขึ้นเครื่องกันเลยทีเดียว) อันนี้ขอชมนิดนึงนะครับ ร้านอาหารที่ตั้งอยู่ตรงคูเมืองตรงข้ามกับทางเข้าถนนคนเดินวัวลาย อร่อยหลายร้านเลยครับและราคาก็ไม่แพงด้วยนะครับ ชอบเลยประหยัดงบไปได้เยอะเลยครับ
ครับสุดท้ายนี้ผมก็ขอจบการรีวิวเชียงใหม่หน้าฝนของผมแต่เพียงเท่านี้นะครับ ถ้าหากมีอะไรผิดพลาดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับเพราะเป็นรีวิวแรกของผมเอง ขอบคุณครับที่เข้ามาเยี่ยมชม แล้วพบกันใหม่กับรีวิวหน้านะครับ เร็วๆนี้แน่นอน แต่จะในหรือนอกประเทศอันนี้ต้องดูอีกทีครับ
ขอบคุณที่มาของบทความ : http://pantip.com/topic/30819836/story
ข้อมูลแน่นมาก ขอบคุณครับ
ตอบลบเรียนภาษาอังกฤษ